5 เหตุผลที่ทำให้ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน

ประสบการณ์ใช้รถ | 10 เม.ย 2561
แชร์ 2

ว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัยในรถยนต์ที่ถือเป็นการป้องกันสูงสุด จากการบาดเจ็บหรือเรื่องเศร้าของชีวิตผู้ใช้รถนับล้านๆ แต่ถึงกระนั้นแม้ถุงลมนิรภัยจะอำนวยคุณอนันต์ความปลอดภัยซึ่งสำคัญที่สุดของรถยนต์ในปัจจุบัน แต่ข้อบกพร่องบางประการทั้งในส่วนของการออกแบบหรือการผลิตอาจทำให้การทำงานของระบบไม่สมบูรณ์ เพียงเสี้ยววินาทีของความผิดพลาดก็ตัดสินความเป็นความตายของทุกชีวิตบนรถได้

5 เหตุผลที่ทำให้ถุงลมนิรภัยของรถคุณไม่ทำงาน

5 เหตุผลที่ทำให้ถุงลมนิรภัยของรถคุณไม่ทำงาน

ข่าวสลดเมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมาของดาราสาวขับรถ BMW X1 เกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิต เมื่อมองที่รายละเอียดก็พบว่าตัวถุงลมนิรภัยด้านหน้าไม่ทำงาน มีเพียงม่านถุงลมเท่านั้นที่ระเบิดขึ้นมา แต่ก็ไม่เพียงพอช่วยชีวิตดาราสาวคนนั้นได้ เกิดเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าทำไมขนาดระดับความปลอดภัยแบบรถยุโรป ยังเกิดปัญหาลักษณะนี้ที่ถุงลมไม่ทำงานได้ Chobrod ขออาสาพาไปชมปัจจัยที่จะทำให้ตัวถุงลมไม่ทำงาน มีอะไรบ้างไปดูกัน

>> BMW แจงรถน้องอินชนข้าง ทำให้ถุงลมหน้าไม่ทำงาน

1.ลักษณะการชน

หลักการทำงานของถุงลมนิรภัยจะพองโตขึ้นเพื่อช่วยรับแรงกระแทกของผู้โดยสาร เมื่อตัวเซ็นเซอร์แต่ละจุดได้รับแรงกระแทกหรือสัญญาณส่งไปยังตัวถุงลม ถ้าตัวรถชนที่ด้านหน้าถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้างของผู้โดยสารด้านหน้าจะพองขึ้น ถ้าได้รับแรงกระแทกชนที่ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยด้านข้างคู่หน้าก็จะพองขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลของการที่ถุงลมนิรภัยไม่พองรับแรงกระแทกเกี่ยวเนื่องว่าเมื่อขณะที่ชนตัวเซ็นเซอร์ของถุงลมไม่ได้รับการกระตุ้นให้ทำงาน รวมถึงลักษณะการชนที่คาบเกี่ยว ทั้งด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลังก็มีผลด้วยเช่นกัน ซึ่งบางจังหวะที่รถเกิดอุบัติเหตุเมื่อความเร็วสูงผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้ว่าจะให้ไปชนบริเวณไหนของตัวรถ

ลักษณะการชนมีผลที่จะทำให้ถุงลมแต่ละใบทำงานด้วย

ลักษณะการชนมีผลที่จะทำให้ถุงลมแต่ละใบทำงานด้วย

คำแนะนำของ NHTSA หน่วยงานความปลอดภัยด้านการจราจรทางหลวงในอเมริกา ชี้ว่าตำแหน่งการชนหรือจุดที่รถได้รับแรงกระแทกมีผลต่อการทำงานของถุงลมนิรภัยโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตัวรถชนที่ด้านหน้าจังๆ การทำงานของถุงลมนิรภัยจะเชื่อมั่นได้มากกว่าว่าถุงลมนิรภัยจะพองโตขึ้นมาเมื่อเทียบกับการชนที่มุมด้านหน้าของตัวรถ เป็นต้น

2.ตัวเซ็นเซอร์ของถุงลมมีปัญหา

การชนในลักษณะแบบจังๆ จะทำให้ถุงลมนิรภัยทำงาน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเซ็นเซอร์ของตัวถุงลมนิรภัยไม่สามารถตรวจจับวัดแรงกระแทกได้เป็นปกติ อาจมาจากที่ผู้ผลิตค่ายรถยนต์ออกแบบ และทำการทดสอบได้ไม่ดีพอ รวมไปถึงจำนวนเซ็นเซอร์เพื่อจับวัดแรงกระแทกของตัวถุงลมมีน้อยเกินไปที่จะตรวจจับวัดแรงกระแทกจากการชนได้ทั่วถึง ส่งผลต่อให้ตัวถุงลมไม่ทำงานได้ด้วยเช่นกัน

จุดของเซ็นเซอร์ และระบบการทำงานของถุงลมนิรภัย

จุดของเซ็นเซอร์ และระบบการทำงานของถุงลมนิรภัย

3.ชิ้นส่วนไฟฟ้าที่เกี่ยวเนื่องกับระบบชำรุด

เซ็นเซอร์ของตัวถุงลมทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ถ้าส่วนประกอบต่างๆ เกิดชำรุดย่อมส่งผลให้การทำงานของถุงลมผิดพลาดไม่ระเบิดพองขึ้นมาได้ เช่น สายไฟที่ออกแบบมาเพื่อส่งสัญญาณไปยังถุงลมเกิดขาดหรือตัวปลั๊กที่ใช้เสียบเกิดเสียย่อมส่งผลให้การทำงานของเซ็นเซอร์ถุงลมไม่ทำงาน ยิ่งสำหรับรถบางรุ่นบางคันที่ได้รับการออกแบบมาไม่ดีพอ เมื่อรถใช้งานไปสักระยะการเสื่อมสภาพย่อมมีผลต่อการทำงานของระบบแทบทั้งสิ้น

4.สายไฟขาด

นักวิจัยพบว่าการที่ถุงลมนิรภัยไม่ทำงานอาจเกิดขึ้นจากตัวผู้ผลิตเลือกพื้นที่ในการเดินวางสายไฟไม่ดีพอ วางสายไฟไว้ในตำแหน่งที่ขาดได้ง่ายเมื่อรถเกิดการชน ช่องโหว่ต่างๆ ของตัวรถที่บางผู้ผลิตใช้เพื่อวางสายไฟของระบบถุงลมถ้าไม่ถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งที่ดีพออาจส่งผลเสีย เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นจริงๆ ที่ทำให้ระบบถุงลมนิรภัยถูกตัดขาดจากการทำงานด้วยแรงกระแทกที่ไปถูก ณ จุดที่สายไฟของระบบถุงลมเดินไว้พอดี

ปัญหาจากตัวถุงลมเองก็มีส่วนทำให้ไม่ทำงานได้ด้วยเช่นกัน

ปัญหาจากตัวถุงลมเองก็มีส่วนทำให้ไม่ทำงานได้ด้วยเช่นกัน

5.ข้อบกพร่องจากตัวถุงลมเอง

ตัวถุงลมนิรภัยเองก็สามารถเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานได้เช่นกัน ไม่ยอมระเบิดยิงออกมาเมื่อได้รับสัญญาณจากเซ็นเซอร์ กรณีอุบัติเหตุในต่างประเทศเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่ามีสัญญาณถูกส่งออกมาถึงตัวถุงลมเรียบร้อย และสั่งให้ถุงลมนิรภัยยิงออกมาแล้ว แต่การทำงานในตัวถุงลมผิดพลาดเองจึงถุงลมจึงไม่ระเบิดพองออกมา ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบ และขั้นตอนการผลิตรวมทั้งซอฟต์แวร์ของตัวถุงลมเอง

ทั้งหมดนี้คือ 5 ปัจจัยที่จะทำให้ถุงลมในรถของคุณไม่ทำงาน จะเห็นได้ว่าทำงานของถุงลมนิรภัยช่างละเอียดอ่อนหรือไว้ใจได้ว่าจะทำงานทุกครั้งไปในทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุ ใช่เมื่อทุกครั้งที่เกิดการชนแล้วตัวถุงลมจะทำงานทุกครั้งไป บางครั้งที่เกิดการชนก็ต้องมาลุ้นอีกด้วยว่าถุงลมจะทำงานหรือไม่ แรงกระแทกจะไปเตือนให้เซ็นเซอร์เด้งทำงานถุงลมพองขึ้นมาหรือเปล่า ซึ่งถ้าคุณไม่อยากลุ้นหรือเสี่ยงเพื่อจะรอให้ถุงลมต้องทำงาน การเลือกที่จะขับรถด้วยความไม่ประมาท กับความเร็วที่เหมาะสมน่าจะปลอดภัยและไว้ใจได้มากกว่า การที่จะหวังพึ่งถุงลมเพียงอย่างเดียวใช่ว่าจะพึ่งได้เสมอไป 100% แต่คุณสามารถเลือกที่จะไม่ต้องไปเสี่ยงให้อยู่ในสถานการณ์เหล่านั้นได้ ขับรถปลอดภัยทุกๆ ท่านด้วยความปรารถนาดีจาก Chobrod.com  

ดูเพิ่มเติม

>> Toyota เรียกคืนรถ 645,000 คัน เหตุเกิดจากถุงลมนิรภัย!!

>> Hyundai พัฒนาถุงลมนิรภัยสำหรับซันรูฟรายแรกในโลกยานยนต์